จ.พัทลุง
สายพันธุ์เดลิกาน่า อายุ 6 ปี
จ.นครนายก
สายพันธุ์คอมแพ็ค อายุ 7 ปี
จ.กระบี่ สายพันธุ์คอมแพ็ค อายุ 7 ปี
จ.นครศรีธรรมราช สายพันธุ์คอมแพ็ค อายุ 4 ปี 6 เดือน
จ.สุราษฎร์ธานี สายพันธุ์คอมแพ็ค อายุ 5 ปี
จ.นครศรีธรรมราช สายพันธุ์คอมแพ็ค อายุ 7 ปี
จ.ชุมพรและสุราษฎร์ธานี
สายพันธุ์: เดลิคอมแพ็ค/เดลิไนจีเรียแบล็ค
สายพันธุ์เดลิคอมแพ็ค
จ. ชุมพร
สายพันธุ์คอมแพ็คไนจีเรีย อายุ 3 และ 5 ปี
จ.สงขลา
จ.ชุมพร
สายพันธุ์คอมแพ็คกาน่า
อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี
สายพันธุ์เดลิลาเม่ อายุ 7 ปี
อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
สายพันธุ์: คอมแพ็คกาน่า
จ.ระนอง
สายพันธุ์ เดลิ ไนจีเรียแบล็ค/คอมแพ็ค กาน่า อายุ 5 ปี
อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี
สายพันธุ์คอมแพ็คกาน่า อายุ 8 ปี
อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
สายพันธุ์คอมแพ็คไนจีเรีย อายุ 9 ปี
อ.ปะเหลียน จ.ตรัง
สายพันธุ์คาลิกซ์600 อายุ 3 ปี
สายพันธุ์เดลิคอมแพ็ค อายุ 7 ปี
คอมแพ็คกาน่า อายุ 6 ปี ต.โคกหล่อ อ.เมือง จ.ตรัง
คอมแพ็คกาน่า อายุ 2ปี 11 เดือน ต.บ้านเสด็จ อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี
ใช้กล้าปาล์มน้ำมันปลอม...เสียหายแค่ไหน! เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการปลูกปาล์มน้ำมันกันอย่างกว้างขวางทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่กลับพบว่าเกษตรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันของไทยบางส่วน ได้นำกล้าปาล์มน้ำมันปลอมหรือกล้าปาล์มน้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐานมาปลูก ซึ่งอาจเกิดจากการขาดความใส่ใจถึงแหล่งที่มาของต้นกล้าหรือเลือกซื้อต้นกล้าปาล์มจากแหล่งเพาะกล้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นความสำคัญของกล้าปาล์มน้ำมัน บริษัท อาร์ดี เกษตรพัฒนา จำกัด ขอนำความเสียหายจากการปลูกปาล์มน้ำมันปลอม หรือปาล์มน้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐานมาฝากแก่เกษตรกรทุกท่าน
ปาล์มน้ำมัน
เป็นพืชที่สามารถให้ผลผลิตทะลายสดได้ตลอดทั้งปี และมีอายุเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานมากกว่า 25 ปีขึ้นไป ดังนั้นพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรนำมาปลูก ต้องเป็นพันธุ์ปาล์มที่ดี จึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการผลิตตลอดจนอายุการเก็บเกี่ยวของปาล์มน้ำมันได้
พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ดี
หมายถึง พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ ที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตน้ำมัน / หน่วยพื้นที่ / หน่วยระยะเวลาสูง และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในแหล่งปลูกได้ดี ปัจจุบันพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่นิยมปลูกเป็นการค้า จัดเป็นพันธุ์ลูกผสมแบบเทเนอรา ที่ต้องผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์แล้ว ซึ่งมีขั้นตอนสำคัญๆ สรุปได้ ดังนี้ 1. ต้องมีการคัดเลือกต้นแม่พันธุ์แบบดูรา และพ่อพันธุ์แบบพิสิเฟอรา ที่มีลักษณะที่ดีจากประชากรที่ผ่านการปรับปรุงมาแล้ว 2. ต้องมีขั้นตอนและวิธีการในการผสมพันธุ์ระหว่างต้นแม่พันธุ์แบบดูรา และพ่อพันธุ์แบบพิสิเฟอราอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ลูกผสมแบบเทเนอราที่ถูกต้อง เพื่อนำมาทดสอบผลผลิตและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่อไป 3. ลูกผสมเทเนอราที่ได้ในข้อ 2 ต้องใช้วิธีการทดสอบที่เชื่อถือผลการทดสอบได้ โดยพิจารณาถึงศักยภาพในการให้ผลผลิต ลักษณะประจำพันธุ์ต่าง ๆ ของคู่ผสม และความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ปลูกทดสอบ 4. ต้องมีวิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ดีได้มาตรฐาน จากคู่ผสม (ต้นดูรา X ต้นพิสิเฟอรา) ที่ผ่านการทดสอบในขั้วลูกแล้ว
5. เมล็ดพันธุ์ที่ดีได้ในข้อ 4 ต้องนำมาเพาะงอก และเลี้ยงดูกล้าปาล์มในระยะกล้าอย่างถูกวิธีการ โดยต้องมีการคัดทิ้งและทำลายต้นกล้าปาล์มที่มีลักษณะผิดปกติ หรือที่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นลักษณะปกติ รวมทั้งต้นกล้าปาล์มที่ไม่สมบูรณ์ เพราะหากนำต้นกล้าปาล์มเหล่านี้ไปปลูก จะมีผลกระทบต่อการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมันอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม พบว่า ในปัจจุบันยังคงมีเกษตรกรอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญในการเลือกใช้พันธุ์ปาล์มที่ดี และมีการเก็บเมล็ดจากโคนต้นปาล์ม หรือต้นกล้าปาล์มที่งอกแล้วบริเวณโคนต้นปาล์มจากสวนปาล์มต่าง ๆ มาปลูกเอง หรือจำหน่ายให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ที่สนใจปลูกปาล์ม ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากต่อการพัฒนาปาล์มน้ำมันของไทยต่อไปในอนาคต และเกิดผลเสียหายต่อทั้งเกษตรกรและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ดังนี้
ลักษณะของปาล์มน้ำมันที่ปลูกจากเมล็ดที่เก็บจากโคนต้นปาล์ม (พันธุ์ปลอม)
ปาล์มน้ำมันที่ปลูกจากเมล็ดที่เก็บจากโคนต้นปาล์ม มีความแปรปรวนของลักษณะต่างๆ สูงมาก โดยเฉพาะความแปรปรวนในลักษณะของผลปาล์ม นอกจากนี้ค่าเฉลี่ยของลักษณะทางการเกษตรอื่นๆ เช่น จำนวนทะลายและขนาดทะลายก็มีความแปรปรวนสูงเช่นกัน รวมทั้งมีเปอร์เซ็นต์จำนวนต้นที่ไม่ให้ทะลายปาล์มเลยสูง โดยทั่วไปพันธุ์ปลอมจะมีผลผลิตทะลายปาล์มสด/ไร่/ปี ต่ำกว่าการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี (ลูกผสมเทเนอรา) ประมาณ 30-40% ซึ่งมีผลทำให้รายรับเป็นจำนวนเงินจากการขายทะลายปาล์มสด/ไร่/ปี ลดลง 30-40% เช่นกัน
ความเสียหายที่เกิดกับเกษตรกร จากการปลูกปาล์มน้ำมันที่เก็บเมล็ดจากโคนต้น (พันธุ์ปลอม)
ความเสียหายทางตรง :
เกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่เก็บเมล็ดจากโคนต้น จะมีต้นทุนในการผลิตสูง เนื่องจากต้องใช้ปัจจัยในการผลิตเท่าเดิม แต่การให้ผลผลิตทะลายสด/ไร่/ปี ต่ำจากการประมาณการผลผลิตทะลายสดตลอดอายุการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมัน (0-32 ปี) พบว่าปาล์มน้ำมันที่ปลูกจากเมล็ดที่เก็บจากโคนต้นปาล์มน้ำมันให้ผลผลิตต่ำกว่าการใช้พันธุ์ดี ถึง 30,976.99 กก/ไร่ คิดเป็นมูลค่าที่เกษตรกรต้องสูญเสียรายได้เป็นจำนวนเงิน 92,930.98 บาท/ไร่ (กำหนดให้ราคาทะลายสดปาล์มน้ำมัน อยู่ที่ 3 บาท/กก. ตลอดอายุเก็บเกี่ยว)* ดังนั้นหากเกษตรกรรายหนึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ปลูกจากเมล็ดที่เก็บจากโคนต้น จำนวน 50 ไร่ จะทำให้เกษตรกรนั้น สูญเสียรายได้จากการขายผลผลิตทะลายสด เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,646,549 บาท ตลอดอายุการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมัน (0-32 ปี) * คำนวณผลผลิตของปาล์มน้ำมันที่เก็บเมล็ดจากโคนต้นมาปลูก ให้ผลผลิตทะลายสดเพียง 62% ของปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี (ธีระและคณะ, 2545)
ความเสียหายทางอ้อม :
ความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จากการปลูกปาล์มน้ำมันที่เก็บเมล็ดจากโคนต้น(พันธุ์ปลอม)
เนื่องจากปาล์มน้ำมัน เป็นพืชอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการหลายฝ่าย อีกทั้งมีความหลากหลายในการเพิ่มมูลค่าโดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย หากพิจารณาถึงภาพรวมทั้งหมดเกี่ยวกับปริมาณการผลิต และมูลค่าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตลอดอายุการเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมัน (0-32 ปี) เริ่มตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบทะลายสดปาล์มน้ำมันจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญๆ ที่ต่อเนื่องกันก่อนถึงผู้บริโภค โดยเปรียบเทียบระหว่างการใช้พันธุ์ดี กับพันธุ์ปลอม (เก็บเมล็ดจากโคนต้นมาปลูก) พบว่าการใช้พันธุ์ปลอม หรือการใช้เมล็ดจากโคนต้นปาล์มน้ำมันมาปลูก จะทำให้ประเทศสูญเสียรายได้เป็นจำนวนเงิน 370,903 บาท/ไร่ ดังนั้นหากประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ปลอม หรือพันธุ์ที่เก็บเมล็ดจากโคนต้นมาปลูก จำนวนถึง 400,000 ไร่ นั่นแสดงว่า ประเทศชาติต้องสูญเสียรายได้เป็นจำนวนเงินมหาศาล คือ ประมาณ 148,361,200,000 บาท ตลอดอายุการให้ผลผลิตปาล์มน้ำมัน (0-32 ปี) หรือสูญเสียรายได้ คิดเฉลี่ยปีละ 4,636,287,500 บาท/4 แสนไร่/ปี การปลูกปาล์มน้ำมันที่เก็บเมล็ดจากโคนต้นปาล์ม (พันธุ์ปลอม) ทำให้ปาล์มน้ำมันที่ปลูกมีความแปรปรวนของลักษณะทางการเกษตรต่าง ๆ สูง และมีผลผลิตทะลายสด/ไร่/ปี ต่ำกว่าการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์แล้ว ประมาณ 30-40% ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี คิดเป็นเงิน ดังนั้นก่อนการปลูกปาล์มน้ำมันทุกครั้ง เกษตรกรควรต้องมีความมั่นใจในความถูกต้องของพันธุ์ปาล์มก่อนเสมอ
อ้างอิง : เส้นทางสู่ความสำเร็จ การผลิตปาล์มน้ำมัน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตปาล์มน้ำมัน คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น กล่าวคือ มีฝนตกชุก มีแสงแดดมาก ไม่มีสภาพอากาศหนาว ซึ่งสภาวะอากาศดังกล่าว ได้แก่ บริเวณเส้นศูนย์สูตร พบว่าปาล์มน้ำมันมีการกระจายอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 16 องศาเหนือ ถึง เส้นรุ้งที่ 15 องศาใต้ โดย 90% ของประเทศที่มีการปลูกปาล์มน้ำมันจะอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 10 องศาเหนือและใต้
สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการปลูกปาล์มน้ำมัน มี 4 ปัจจัย คือ
ปริมาณน้ำฝนและการกระจายตัวของฝน :
ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมัน เนื่องจากน้ำมีความสำคัญในการเคลื่อนย้ายของธาตุอาหาร โดยปกติปาล์มน้ำมันที่เจริญเติบโตเต็มที่จะมีการคายน้ำ 5-6 มม./วัน หากมีการขาดน้ำจะทำให้ผลผลิตอีก 19-22 เดือนข้างหน้าลดลง ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมสำหรับปาล์มน้ำมัน ควรจะอยู่ระหว่าง 2,000-3,000 มม./ปี และมีการกระจายของฝนดีในแต่ละเดือน โดยจะต้องมีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 100 มม./เดือน การกระจายของน้ำฝนจะมีความสำคัญมากโดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งเป็นดินร่วนปนทราย ซึ่งดินดังกล่าวจะมีการเก็บความชื้นได้น้อยจึงทำให้มีโอกาสขาดน้ำได้ง่าย ดังนั้นการใช้วัชพืชคลุมดิน ก็จะเป็นอีกวิธีที่จะช่วยรักษาความชื้นไว้ในดินได้
พื้นที่ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 1,200 มม./ปี ปริมาณน้ำฝนจะไม่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของปาล์ม ปาล์มน้ำมันที่ปลูกในพื้นที่ดังกล่าวจะให้ผลผลิตลดลง ในการรักษาระดับของผลผลิตของปาล์มน้ำมันที่ปลูกในพื้นที่ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนและการกระจายของฝนน้อย อาจทำได้โดยการติดตั้งระบบน้ำซึ่งจะช่วยรักษาระดับการให้ผลผลิตของปาล์มในช่วงฤดูแล้งได้ แต่อย่างไรก็ตามในพื้นที่ซึ่งมีฝนตกมากเกินไป (มากกว่า 3,000 มม./ปี) ก็ไม่เหมาะกับปาล์มน้ำมันเช่นเดียวกัน เนื่องจากปาล์มน้ำมันจะได้รับแสงแดดน้อยลง มีการท่วมขังของน้ำในที่ลุ่ม นอกจากนั้นจะมีการระบาดของโรคได้ง่ายกว่าปกติ จากการศึกษาการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมันในพื้นที่ซึ่งมีปริมาณน้ำฝน/ปี แตกต่างกัน พบว่าปริมาณฝนที่มากหรือน้อยเกินไปจะทำให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลง
พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกปาล์มน้ำมันไม่ควรมีเดือนที่ขาดน้ำ (เดือนที่ขาดน้ำ ได้แก่ เดือนที่มีน้ำฝนน้อยกว่า 100 มม./เดือน) หากมีการขาดน้ำมากกว่า 4 เดือน (มีช่วงฤดูแล้งที่ยาวนาน) พื้นที่ดังกล่าวจะไม่เหมาะสมที่จะปลูกปาล์มน้ำมัน แต่สามารถแก้ไขได้โดยมีการตั้งระบบน้ำให้กับปาล์มน้ำมัน หากมีสภาพการขาดน้ำในรอบปีมาก จะทำให้จำนวนทะลาย น้ำหนักทะลาย และเปอร์เซ็นต์น้ำมันลดลง
ปริมาณแสงแดด :
ปริมาณแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญรองจากปริมาณน้ำฝน โดยปกติปาล์มน้ำมันจะต้องได้รับแสงแดดมากกว่า 5 ชั่วโมง/วัน (ได้รับพลังงานแสงไม่น้อยกว่า 17 MJ/ตารางเมตร/วัน) เนื่องจากแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญในการสังเคราะห์แสงของพืชทุกชนิด หากปาล์มน้ำมันได้รับปริมาณแสงน้อยจะทำให้การเจริญเติบโตลดลง การสร้างดอกตัวเมียน้อยลงซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลง นอกจากนั้นยังทำให้สัดส่วนของผลต่อทะลายลดลงซึ่งจะมีผลทำให้ปริมาณน้ำมันลดลงอีกด้วย
สำหรับประเทศไทยปริมาณของแสงเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมัน ปัจจัยของแสงจะมีปัญหากับปาล์มน้ำมันเมื่อปลูกปาล์มไปแล้วมากกว่า 10 ปี เนื่องจากปาล์มที่ปลูกในระยะที่ชิดจะมีการบังแสงของทางใบระหว่างต้นทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างต้น ดังนั้นจำเป็นต้องมีการจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับระยะปลูกและการตัดแต่งทางใบ เพื่อให้ปาล์มมีจำนวนใบและมีพื้นที่ใบที่จะรับแสงได้เหมาะสมตลอดอายุของการเจริญเติบโตของปาล์ม พบว่าช่วงแรกของการเจริญเติบโต การตัดแต่งทางใบไม่ค่อยมีความจำเป็นมากนัก แต่เมื่อปาล์มน้ำมันโตมากขึ้นจะต้องมีการตัดแต่งทางใบมากขึ้น เพื่อทำให้มีพื้นที่ใบรับแสงแดดได้อย่างเพียงพอ ในสภาพที่ปาล์มน้ำมันถูกบังแสง จะทำให้สร้างอาหารได้น้อยลง และทำให้มีการสร้างดอกตัวเมียน้อยลง มีการศึกษาพบว่าช่วงเดือนที่มีกลางวันสั้น จะมีผลทำให้สัดส่วนเพศของปาล์มน้ำมันลดลง
อุณหภูมิ :
อุณหภูมิ มีผลต่อการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมันเช่นเดียวกัน อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมันควรอยู่ช่วง 22-32 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิปกติของเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบกับปาล์มน้ำมันน้อยกว่าอุณหภูมิที่ต่ำ ในสภาพอุณหภูมิที่สูงจะมีผลกับการคายน้ำของปาล์มน้ำมันซึ่งจะทำให้ปาล์มน้ำมันขาดน้ำ แต่ในสภาพอุณหภูมิต่ำปาล์มน้ำมันจะมีพัฒนาของใบช้าลง มีการศึกษาพบว่าการเจริญเติบโตของกล้าปาล์มน้ำมันจะจำกัดอย่างมากเมื่ออุณหภูมิต่ำว่า 15 องศาเซลเซียส แต่เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 20 องศาเซลเซียส กล้าปาล์มจะเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า และมีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 7 เท่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 25 องศาเซลเซียส
ความสูงจากระดับน้ำทะเล :
มีผลกับอุณหภูมิเช่นเดียวกัน (อุณหภูมิจะลดลงประมาณ 0.6 องศาเซลเซียส เมื่อความสูงเพิ่มขึ้นทุกๆ 100 เมตร) มีรายงานว่าปาล์มน้ำมันที่ปลูกในบริเวณพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 500 เมตร จะให้ผลผลิตช้ากว่าปาล์มน้ำมันที่ปลูกในพื้นที่ต่ำถึง 1 ปี
ลม :
ลำต้นของปาล์มน้ำมันไม่แข็งแรง (ซึ่งแตกต่างกับมะพร้าว) จึงไม่เหมาะสมที่จะปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ซึ่งมีลมแรง หรือ แนวพายุ ความเร็วลมที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 0-10 เมตร/วินาที และการที่มีลมพัดช้าๆ จะช่วยลดอุณหภูมิในช่วงเที่ยงวันได้ด้วย รากของปาล์มน้ำมันเป็นรากฝอย ทำให้ไม่ทนทานต่อกระแสลมที่พัดแรง ประกอบกับปาล์มน้ำมันมีทรงพุ่มใหญ่ทำให้ล้มได้ง่าย โดยเฉพาะการปลูกในพื้นที่พรุ นอกจากนั้นในพื้นที่ซึ่งมีลมแรงจะทำให้ใบปาล์มน้ำมันฉีกขาดหรือทางใบหัก เป็นผลให้อัตราการสังเคราะห์แสงลดลง ในสภาพพื้นที่ซึ่งมีลมพัดโชยอ่อนๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีแดดจัดจะช่วยเสริมให้ปาล์มน้ำมันมีการหายใจได้ดีขึ้น และเป็นการช่วยระบายความร้อนแก่ใบปาล์มด้วย
ลักษณะทั่วไปของปาล์มน้ำมัน ปาล์มน้ำมันจัดอยู่ในพืชตระกูลปาล์ม ตระกูลย่อยเดียวกับมะพร้าว เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่ผสมข้าม (ใช้เกสรตัวผู้จากต้นอื่นมาผสมกับเกสรตัวเมียของต้นตัวเอง) ปาล์มน้ำมันเป็นพืชสมบูรณ์เพศ คือ มีทั้งช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียบนต้นเดียวกัน (แยกช่อดอกอยู่ในต้นเดียวกัน) การผสมเปิดจะได้ต้นปาล์มน้ำมันรุ่นลูกที่แตกต่างจากต้นแม่เดิม จึงไม่แนะนำให้เก็บเมล็ดจากใต้ต้นไปขยายพันธุ์ ถ้าปลูกปาล์มน้ำมันจากเมล็ดที่หล่นใต้ต้นหรือนำมาจากแหล่งเพาะพันธุ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ จะทำให้ผลผลิตทะลายสดลดลง
ต้นปาล์มน้ำมันจะไม่มีปาล์มต้นตัวเมียหรือต้นตัวผู้ ต้นตัวผู้ที่เกษตรกรเข้าใจ คือ ต้นที่ผิดปกติซึ่งจะออกดอกตัวผู้มากกว่าปกติ (แต่ยังมีดอกตัวเมีย) ดังนั้นจึงเป็นต้นตัวผู้ไม่ได้
การผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสม
cr. photo:Figure 11.3. The Shell gene is responsible for the oil palm’s three known shell forms: dura (thick); pisifera (shell-less); and tenera (thin), a hybrid of dura and pisifera palms [56]. Tenera palms contain one mutant and one normal version, or allele, of Shell, an optimum combination that results in 30% more oil per land area than dura palms [57].
ดูรา (DURA) :
กะลาหนา 2-8 มม. ไม่มีวงเส้นประสีดำอยู่รอบกะลา มีชั้นเปลือกนอกบาง ประมาณ 35-60 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล มียีนส์ควบคุมเป็นลักษณะเด่น ปาล์มชนิดนี้ใช้เป็นแม่พันธุ์
ฟิสิเฟอร่า (PISIFERA) :
ยีนส์ควบคุมลักษณะผลแบบนี้เป็นลักษณะด้อย ลักษณะผลไม่มีกะลาหรือมีกะลาบาง ช่อดอกตัวเมียมักเป็นหมัน ทำให้ผลฝ่อลีบ ทะลายเล็กเนื่องจากผลไม่พัฒนา ผลผลิตทะลายต่ำมาก ไม่ใช้ปลูกเป็นการค้าแต่ใช้เป็นพ่อพันธุ์ในการผลิตลูกผสม เนื่องจากมีจำนวนดอกตัวเมียมาก
เทเนอร่า (TENERA) :
มีกะลาบาง ตั้งแต่ 0.5-4 มม. มีวงเส้นประสีดำอยู่รอบกะลา มีชั้นเปลือกนอกมาก 60-90 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล ลักษณะเทเนอร่าเป็นพันธุ์ทาง เกิดจากการผสมข้ามระหว่างต้นแม่ดูราและต้นต่อฟิสิเฟอร่า
การเลือกพื้นที่ ปลูกปาล์มน้ำมัน
· ควรเลือกพื้นที่ที่ดินมีชั้นหน้าดินลึกมากกว่า 75 ซม. มีความอุดมสมบูรณ์สูงถึงปานกลาง
· ลักษณะดินร่วน ดินร่วนปนดินเหนียว ดินเหนียวไม่มีชั้นดินดาน
· มีการระบายน้ำดีถึงปานกลาง ความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่เหมาะสม 5-6
· ความลาดเอียงไม่เกิน 12 %
· ควรมีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 2,000 มม./ปี มีช่วงแล้งติดต่อกันไม่เกิน 2-3 เดือน
· มีแหล่งน้ำสำรองเพียงพอ กรณีที่มีช่วงแล้งติดต่อมากกว่า 4 เดือน
· พื้นที่ที่มีสภาพไม่เหมาะสมสำหรับปลูกปาล์มน้ำมัน เช่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ สภาพดินพรุ
· ดินค่อนข้างเค็ม พื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังมานาน ต้องมีการจัดการแก้ไขตามสภาพปัญหาของดินแต่ละชนิด
การเตรียมพื้นที่
- โค่นล้มและกำจัดซากต้นไม้วัชพืชออกจากแปลง ไถพรวนดินด้วยผ่าน 3 และผ่าน 7 ปรับพื้นที่ให้เรียบ
- ตัดถนนในแปลงเพื่อใช้เป็นเส้นทางของการขนส่งผลผลิต ทำร่องระบายน้ำภายในแปลง - การโค่นล้มปาล์มเก่า เพื่อปลูกปาล์มใหม่ทดแทน ควรใช้วิธีสับต้นและกองให้ย่อยสลายในแปลง
- ไม่ควรกองซากต้นสูงเกินไปจะเป็นที่วางไข่ของด้วงแรด
- ควรให้แถวปลูกหลักอยู่ในทิศเหนือ-ใต้ ระยะการปลูก 9x9x9 เมตร วางผังเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าเพื่อให้ต้นปาล์มได้รับแสงแดดมากที่สุดและสม่ำเสมอปลูกจำนวนต้นต่อไร่ได้เพิ่มมากขึ้น
- ควรปลูกพืชคลุมดินในช่วงเตรียมพื้นที่ ในสัดส่วนถั่ว เพอราเนีย : ถั่วคาโลโปโกเนียม: ถั่วซีรูเลียม 3:3:1 โดยหว่านเมล็ดในอัตรา 1.5-2 กิโลกรัมต่อไร่หรือปลูกพืชตะกูลถั่วแซมสวนปาล์มน้ำมันในช่วง อายุ 1-3 ปี
- ควรเลือกพื้นที่ที่มีชั้นหน้าดินลึก เพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน ความลาดชันไม่ควรเกิน 28 องศา
การวางแนวปลูกปาล์มน้ำมัน
แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการสังเคราะห์แสงของใบพืช เพื่อประสิทธิภาพในการปรับปรุงอาหาร สร้างความเจริญเติบโตลำต้น ดอก ใบ กิ่ง ก้าน สาขา ผลผลิต โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน มีความต้องการแสงสูงมาก อย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อวัน การวางผังปลูกปาล์มน้ำมันจึงต้องคำนึงถึงระยะปลูกทิศทางของแสงแดดเพราะปัจจัยเหล่านี้ มีผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ทำให้เกษตรได้ผลผลิตสูงแต่ถ้าหากเกษตรกรวางผังการปลูกปาล์มน้ำมันไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการจะส่งผลทำให้ได้ผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลงกว่าปริมาณที่ควรจะได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
การปลูกแนวขวางตะวัน (เหนือ-ใต้) จะลดการบังแสงตามรูปเปรียบเทียบ
*ระยะปลูกเบื้องต้นที่แนะนำอยู่ที่ 9x9x9 ม. (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และความเหมาะสมพื้นที่)